5 วิธี Slow life ในวิถีเกษตร
การใช้ชีวิตแบบ Slow life ก็คือการทำงานในสิ่งที่รัก ไม่เร่งรีบ เหนื่อยก็พัก หนักก็หยุดทบทวน ค่อยคิดค่อยทำในแบบของเรา มีเวลาให้คนที่เรารัก หาแรงบันดาลใจให้กับตนเอง ทำทีละอย่าง และจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ เรียกได้ว่าเป็นการใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไปจริง ๆ
1.ดื่มด่ำและซึมซับกับธรรมชาติให้มากที่สุด
เมื่อคุณลงมือทำเกษตร นั่นแปลว่าคุณได้เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว ลองสูดหายใจเข้าลึก ๆ สิครับ อยู่กับธรรมชาติ ฟังเสียงหัวใจของตนเอง และเดินตามเสียงนั้น ลองถอดรองเท้าเดินย่ำดิน เดินไปร้องเพลงไป จับจอบจับเสียม รดน้ำพรวนดิน เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็จะค่ำแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ทั้งที่เรายังสนุกกับมันอยู่เลย นั่นแปลว่าเราเริ่มเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติแล้วล่ะครับ
2.เรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติ
ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับพืชแต่ละชนิดที่เราปลูก เรียนรู้และเข้าใจความต้องการว่าพืชแต่ละชนิดต้องการดิน น้ำ และอากาศแบบไหน บางครั้งเราอาจต้องปล่อยให้มีวัชพืชเพื่อล่อความสนใจจากแมลง หรือศัตรูพืชที่จะมายุ่งกับพืชที่เราปลูก นั่นแปลว่าคุณต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้ พร้อมกับการลงมือทำไปด้วยนะครับ ตอนแรกอาจจะถูกบ้างผิดบ้าง แต่เมื่อเราทำบ่อย ๆ เราก็จะเป็นผู้ชำนาญในเรื่องนั้นไปเองครับ
3.โพกัสในสิ่งที่ทำ ค่อยเป็นค่อยไป
อย่างที่บอกครับ Slow life คือการโพกัสในสิ่งที่ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เรียนรู้จากสิ่งหนึ่งเพื่อต่อยอดไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง จดจ่อและลงมือทำซ้ำ ๆ จดจ่อแล้วทำ ทำแล้วหาข้อแก้ไข เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ดีกว่า สิ่งหนึ่งที่วัดคนล้มเหลวและคนสำเร็จออกจากกัน คือการเริ่มต้นทำครับ คนล้มเหลวพอเจออุปสรรคแค่นิดเดียวก็ถอดใจจนเลิกทำ ส่วนคนสำเร็จเขาโพกัสในสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้ง ก็ยังลุกขึั้นมาได้และลงมือทำต่อโดยไม่ย่อท้อ เพราะสิ่งที่โพกัสคือความฝันที่ใหญ่เกินกว่าอุปสรรคจะขวางกั้นได้ เราจึงได้เห็นคนสำเร็จแค่ส่วนน้อยยังไงล่ะครับ การโพกัสก็เหมือนการตั้งเป้าหมายครับ ถ้าเป้าหมายชัด ความสำเร็จมาแน่นอนครับ
4.อยู่ที่ตัวเราเอง
บรรยาการดีหรือไม่ดี อยู่ที่ตัวเราเป็นคนมองครับ สุขหรือไม่สุข อยู่ที่ตัวเราเป็นคนเลือกครับ เวลาอยู่กับธรรมชาติ ลองปิดเสียงรบกวนจากสมาร์ทโฟนดูครับ ลองหาเพื่อนคุยและใส่ใจกับคนรอบข้างให้มาก เมื่อเรามองแต่สิ่งดี ๆ แค่นี้ก็มีความสุขในวิถีเกษตรได้แล้วครับ
5.ทำราวกับว่ามันไม่ใช่งาน
สุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เต้นรำราวกับว่าไม่มีใครมองคุณอยู่” ผมว่ามันใช้ได้ดีกับข้อนี้มากครับ ถ้าเราทำโดยที่คิดว่ามันเป็นงาน เราอาจจะทำให้มันเสร็จ ๆ ไป แต่ถ้าเราทำเหมือนเป็นสิ่งที่เรารัก เหมือนเป็นชีวิตของเราเอง ทำโดยไม่มีใครมาบังคับ เราก็จะรู้สึกสนุกไปกับมัน ทำไปเรียนรู้ไป และทำราวกับว่าไม่ได้ต้องการเงิน อย่าพึ่งเข้าใจผิดนะครับ ว่าผมจะบอกให้ทำโดยเปล่าประโยชน์ ก็ถ้าเราสนุกกับมัน ผลลัพธ์จะออกมาดีครับ แล้วเงินมันจะตามมาเอง
ส่วนเป้าหมายของผมไม่ใช่เพื่อเงินครับ
แต่เป้าหมายของผมคือ
การใช้ชีวิทอย่างSlow life ในการทำเกษตรต่างหาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น